น้ำบาดาลเกิดขึ้นได้อย่างไร

 

แหล่งกำเนิดน้ำบาดาล

"น้ำบาดาล" เกิดจากน้ำฟ้า ได้แก่ น้ำฝน น้ำค้าง ลูกเห็บ หิมะ ที่ตกลงสู่พื้นโลก บางส่วนไหลซึมผ่านชั้นดินชั้นหินลงสู่ชั้นใต้ดินโดยตรง บางส่วนไหลลงสู่ แม่น้ำ ลำคลอง ทะเลสาบและมหาสมุทร และซึมลงสู่ชั้นใต้ดิน กลายเป็นน้ำบาดาล

น้ำบาดาลเป็นน้ำที่อยู่ใต้ดินมีประโยชน์และความสำคัญในหลายด้าน  น้ำบาดาลจะอยู่ลึกลงไปหลายเมตร  ขึ้นอยู่กับบริเวณที่พบน้ำบาดาลซึ้งอาจจะอยู่หลายกิโลเมตรก็ได้  ปกติแล้วน้ำบาดาลจะพบได้น้อยในพื้นที่รอบหรือถ้าพบก็ลึกลงไปมักจะต้องอยู่ใกล้กับแหล่งน้ำด้วย  ในพื้นที่แห้งแล้งก็อาจจะต้องเจาะลึกลงไปมาก  การนำไปใช้ประโยชน์มักใช้ในครัวเรือนในหมู่บ้านที่ไกลแหล่งน้ำ  ใช้ในการเกษตร  มีความสำคัญต่อชั้นดินมาก  วิชาที่ศึกษาเรียกว่า  อุทกธรณีวิทยา


                   ตามที่ได้กล่าวไว้ว่าน้ำบาดาลในแต่ละที่จะมีระดับที่ไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับภูมิประเทศ  ที่อยู่ไม่ลึกก็ใกล้แหล่งน้ำ  บริเวณที่ฝนตกมาก  หากบริเวณหุบเขา  หากพื้นที่แห้งแล้งเป็นทะเลทรายก็อาจจะต้องเจาะลึกลงไป  โดยทั่วไปหากอยู่ในพื้นที่แหล่งน้ำก็ขุดได้ประมาณ 3 – 5 เมตรเรามักขุดเป็นบ่อน้ำเราตัดขึ้นมาใช้  แต่น้ำชนิดนี้มักขึ้นๆ ลงๆ ไปตามฤดูกาล  บางที่อาจจะเจาไปหลายร้อยเมตรกว่าจะเจอ  ระดับที่ลึกนั้นจะมีคุณภาพน้ำที่แตกต่างกันด้วย  สรุปคือ

                    น้ำบาดาล  คือน้ำที่อยู่ไต้ดินลึกลงไป  เกิดจาการดูดซึมของดินและกินไหลลึกลงไป  จนไปแทรกระหว่างหินและดินลึกลงไป  หากมีแรกดันของน้ำที่ต่ำกว่าน้ำใต้ดินที่มีจะเกิดเป็นน้ำพุขึ้นมา  มักเกิดขึ้นบริเวณใกล้เคียงภูเขา


                 น้ำบาดาลเกิดจาก  น้ำฝนที่อยู่ชั้นบรรยากาศตกลงมาสู่พื้น  กลายเป็นน้ำผิวดิน  ส่วนหึ่งก็จะเกิดการซึมลงไปอีกส่วนก็ระเหย  หรอรวมตัวกันเป็นแหล่งน้ำต่างๆ  แหล่งน้ำเหล่านั้นหากซึมลงไปก็จะถูกเก็บไว้ในชั้นใต้ดินที่ลึกลงไป  ตามรูพรุนของหิน  ซึ่งลงไปหลายเมตรจนถึงเป็นกิโลเมตร  น้ำบาดาลที่อยู่ในหินเรียกว่า  น้ำในกิน  หากบริเวณที่มีหินหนืดหรือใกล้เคียง  เรียกว่า  น้ำหินหนืด


                     น้ำบาดาลสามารถที่จะขุดเจาะได้ตามบริเวณชั้นหินลึกลงไป  แต่บางที่อาจจะลึกไม่มากนิยมสูบมาใช้งาน  น้ำบาดาลมักจะอยู่ในระดับการซึมเข้าไปถึงและเป็นชั้นที่เก็บน้ำได้  หากลึงลงไปมากกว่า  15 กิโลเมตรมักจะไม่มีน้ำพบแต่ชั้นหินเท่านั้น


ปัจจัยที่ต่างๆของน้ำบาดาลจะมีการกระจายของน้ำและความลึกที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับปัจจัยเหล่านี้


ความพรุนของหินและดิน เป็นปัจจัยที่กำหนดการเก็บน้ำบาดาล  หากมีความพรุนมาจะมีปริมาณของน้ำแทรกตัวอยู่มากการไหลและการเก็บน้ำจะทำได้รวดเร็ว  ซึ่งขึ้นอยู่กับช่องว่างของหินในแต่ละชนิดอย่างเช่นหินอัคนีมีความพรุนที่น้อยกว่าหินทราย  เนื่องจากมีการอัดแน่นกว่า

ความสามารถในการซึมผ่าน การซึมผ่านของน้ำ  ผ่านหินต่างๆ  จะมีมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับความพรุนของหิน  ถ้ามีความพรุนมากก็จะมีการซึมผ่านที่รวดเร็ว  รวมถึงรูปร่างของหินก็ส่งผลต่อการซึมผ่านด้วย

การแทรกซึม การแทรกซึมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชั้นหิน  ขึ้นอยู่กับน้ำผิวดินความพรุนของหอนและชนิดของหิน  การแทรกซึมในแต่ละชั้นจะเกิดการอิ่มตัวก่อนที่จะแทรกเข้าไปในชั้นถัดลงไป

ปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับน้ำใต้ดินได้แก่


การแทรกซึมผ่านของหิน

ปริมาณน้ำที่แรกซึมลงไป

ลักษณะภูมิประเทศ

เขตในชั้นใต้ดินหรือน้ำบาดาลอยู่


เขตของดิน เป็นเขตที่รับน้ำจากบรรยากาศหรือน้ำฝนที่ตกลงมาจะมีมากหรือไม่มีเลยก็ได้ขึ้นอยู่กับฝนที่จะตกน้อยหรือมาก  เป็นการเปลี่ยนแปลงไปตามระดับน้ำฝนนั้นเอง

เขตอิ่มตัว น้ำที่ตกลงมาสู่พื้นบางส่วนจะเกิดการอิ่มตัวลงไปในชั้นหินและดินตามช่องว่างที่มี  เป็นเขตอขงน้ำบาดาลหรือน้ำใต้ดิน

ระดับน้ำใต้ดินเป็นน้ำที่มีไม่สม่ำเสมอต่ำกว่าน้ำบาดาล มีน้ำตามฤดูกาล  และภูมิประเทศ


ระดับน้ำบาดาล


ปกติแล้วระดับของน้ำบาดาลักพบอยู่สองระดับและมีการสำรวจในประเทศไทยเองเช่นเดียวกัน


 ชั้นที่ 1 เป็นชั้นที่อยู่ใกล้กับน้ำผิวดินเกิดจากแทรกลงไปของน้ำที่ผิวดิน  และจากแหล่งน้ำที่ซึมลงไป  มีความลึกประมาณ 40 -150 ฟุต  เป็นระดับน้ำบาดาลที่ไม่มีแรงดัน

ชั้นที่ 2 เป็นชั้นที่อยู่ลึกลงไปจากชั้นแรก  ชั้นนี้มักมีแรงดินน้ำอยู่ด้วยแล้วแต่บริเวณที่เจาะพบมีความลึกลงไป 350 ฟุต  ถ้าระดับ 150 -300 มักจะไม่มีแรงดันของน้ำ  ระดับน้ำที่แรงดันหากเจอะจะมีการซึมของน้ำหรือเกิดเป็นน้ำพุได้  ขึ้นอยู่กับความสูงต่ำ

ระดับน้ำ  ขึ้นอยู่กับภูมิประเทศอาจจะมีความแตกต่างกันระหว่างชั้นหินและแรงดันของน้ำด้วย


การเคลื่อนไหวของน้ำบาดาล

                การเคลื่อนไหวของน้ำบาดาลปกติน้ำบาดาลจะเคลื่อนไหวอย่างช้า  อาจจะวัดเป็นเซนติเมตรต่อวัน  โดยน้ำจะไหลไปตามชั้นหินตามแรงดันในแต่ละพื้นที่  และขึ้นอยู่กับรูพรุนของหิน  นอกจากนั้นการที่เราสูบก็ทำให้เพิ่มความเร็วของการไหลน้ำได้เร็วยิ่งขึ้น  เนื่องจากการสูบน้ำทำให้ระดับและความดันของน้ำลดลงอย่างรวดเร็ว  ระดับน้ำอยู่บริเวณรอบๆ  ก็จะลดลงตามไปด้วย


การสำรวจแหล่งน้ำบาดาล

              1. การสำรวจทางอุทกธรณีวิทยา  เป็นการสำรวจโดยใช้ข้อมูลจากผิวดิน  ตรวจสอบโครงสร้างทางธรณีวิทยา  และบริเวณภูมิประเทศโดยรอบ

              2. สำรวจทางฟิสิกส์  ตรวจสอบจากความหนาแน่นของผิวดิน  สนามแม่เหล็กไฟฟ้า  ความต้านทานของไฟฟ้า  โดยการปล่อยกระแสไฟฟ้าผ่านชั้นหินต่างๆ  ในระดับลึกลงไป  หินที่มีและไม่มีน้ำจะมีความต้านทานที่แตกต่างกัน

                3. การเจาะสำรวจ    โดยการขุดเจาะบริเวณต่างๆ  เพื่อทำการสำรวจในชั้นหินและบริเวณอุ้มน้ำ  เมื่อก่อนใช้แรงงานคนจั้งตาสองคนขั้นไป  เจาะได้เพียงตื้นๆเท่านั้น  โดยใช้ท่อประมาณ 2 – 3 นิ้ว  เจาะลึกลงไป 15 – 30 เมตรซึ่งมักใช้กับทางด้านการเกษตรและในครัวเรือน  แต่มีข้อจำกัดในบางพื้นที่มีหินเหนียวหากแห้งจะไม่สามารถเจาะลงไปได้  ต่อมาจึงใช้เครื่องขนาดเล็กสามารถเจาะได้ลึกขั้นโดยการติดที่หัวเจาะ  ทำการสูงน้ำแรงดันสูงไปตามหัวเจาะดินจะออกมาตามน้ำที่ไหลตามขึ้นช่องของท่อ  ปัจจุบันมีเครื่องขนาดใหญ่สามารถเจาะได้หลายร้อยเมตร

                4. การสำรวจจากภาพทางทางดาวทียม  เป็นการตรวจสอบในบริเวณที่กว้าง  เพื่อหาตำแหน่งในการขุดเจาะที่ง่ายขึ้น


ผลเสียจากการสูบน้ำบาดาลขึ้นมาใช้มากเกินไป

การสูบน้ำบาดาลมาใช้ประโยชน์ที่จำกัดคงไม่มีปัญหาอะไร  แต่มักมีการสูงมาใช้ในด้านอุสาหกรรมทำให้น้ำที่สูงมานั้นมากขึ้นจนขาดความสมดุลของน้ำใต้ดินทำให้เกิดผลเสียตามมาอย่างเช่นพื้นที่บริเวณกรุงเทพที่เป็นปัญหาอยู่ในปัจจุบัน  มีการทรุดตัวของดินในทุกๆปี

             1. เกิดการทรุดตัวของดิน  เนื่องจากชั้นล่างของหินปูนที่มีน้ำแทรกอยู่ช่วยให้หนุนชั้นดินด้านบนไว้หากสูบมาในปริมาณมากจะทำให้น้ำในชันหินลดลงอย่างรวดเร็วทำให้แผ่นดินยุดตัวลง

              2. การกัดกร่อน  เนื่องจากการสูบน้ำบาดาลขึ้นทำให้เกิดการไหลของน้ำได้อย่างรวดเร็วกว่าเดิมจะทำให้น้ำและตะกอนพัดไปอย่างรวดเร็วและไปทำให้บริเวณชั้นหินเกิดการผุกร่อนจนทำให้เกิดการยุบตัวหรือทิศทางการไหลของน้ำใต้ดินเปลี่ยนแปลงไป   และอาจจะเป็นทางน้ำใต้ดิน

แสดงความคิดเห็น

ใหม่กว่า เก่ากว่า